หลายครั้งที่การสร้างสรรค์เกิดขึ้นจากความใส่ใจบนพื้นที่สาธารณะ ที่รกร้าง และอาจเป็นเพราะความอยากเห็นสิ่งสวยงามเพิ่มเติมขึ้นบนโลก เชื่อได้เลยว่าก่อนที่ไอเดียดีๆ จะไปปรากฏบนพื้นที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น ความรู้สึกรักในสิ่งแวดล้อมก็ผุดขึ้นในใจแล้ว
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา เมื่อ 65 ปีก่อน ในปี 1946 หลังจากที่นักข่าวเชื้อสายไอริช Dick Fagan กลับจากการสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเข้ามาในออฟฟิตมองผ่านหน้าต่างลงไปข้างล่างถนนเห็นแท่นปูนเพื่อรองรับเสาไฟที่ยังว่างเปล่า นานวันเข้า เสาก็ไม่มีวี่แววว่าจะไปติดตั้งอยู่ตรงนั้นสักที จนกลายเป็นแท่นปูนร้างและหลุมตรงกลางนั้นถูกปกคลุมด้วยวัชพืชไปแทนที่ Fagan ทนเห็นมันอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้จึงเกิดไอเดียจะปลูกไม้ดอกบนพื้นที่นั้นซะ ซึ่งนั่นเป็นจุดกำเนิดของสวนหย่อมจิ๋วที่สุดในโลก Mill End Park
ดูเหมือนเป็นความฟุ้งของ Fagan ที่บอกเราว่ามันเป็นบ้านของ Leprechaun ภูติตัวเขียวแคระในตำนานพื้นบ้านไอริช และเขาเห็นพวกมันยืนร้องเพลงเต้นรำกลางสวนขนาด 2 ตารางฟุตนั้น ไม่แค่นั้น ครั้งแรกที่ตกแต่งสวนนี้ก็เพื่ออุทิศให้กับเมืองเนื่องในวันฉลองนักบุญเซนต์ แพทริค แต่เขายังอุทิศช่วงเวลาที่เหลือเพื่อการสร้างสวนหย่อมจิ๋วอื่นๆ แต่งเติมพื้นที่ซึ่งโดนมองข้ามในเมืองให้สวยงามด้วยมุมมองที่แตกต่างกันไป จนกระทั่งเขาจากโลกไปในปี 1969 และสวนหย่อมของเขาได้รับการบันทึกโดย กินเนสบุคส์ ว่าเป็นสวนที่เล็กที่สุดในโลกในปี 1971 นับเป็นที่ภูมิใจของชาวเมืองพอร์ตแลนด์ ยกย่องให้เป้นแลนด์มาร์คของเมืองด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปอาจมีคนแย้งว่ามันไม่ใช่สวนที่เล็กที่สุด แต่ทั้งหมดนี่คุณค่ามันอยู่ที่การลงมือทำกับความฝันโดยไม่ปล่อยให้เป็นเพียงหมอกควันอันว่างเปล่า เป็นอีกตัวอย่างของปฎิสัมพันธ์ที่งดงามระหว่างคนมีต่อเมืองอันเป็นที่รักของเขา
อ้างอิง : en.wikipedia, inhabitat