ดีไซเนอร์ทั้งหลายมักมีเหล่าเซเลบริตี้มาเป็น muse ในการออกแบบ หลายครั้งก็สร้างลายพิมพ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากคนดังเหล่านั้น ซึ่งก็ต้องจ่ายค่าลิขสิทธ์ให้คนดัง แต่ถ้าเป็นลายเสือล่ะ? เคยมีใครจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้เสือกันบ้างไหม? นี่ช่างเป็นประเด็นที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ทั้งๆ ที่เสือเป็นหนึ่งในสัตว์ระดับไอคอนที่เป็นแรงบันดาลใจให้บรรดาดีไซเนอร์และแบรนด์แฟชั่นมามากมายและเนิ่นนานแล้ว
ปัจจุบันจำนวนเสือในป่าลดน้อยถอยลงจนเข้าขั้นวิกฤติ สถิติจากองค์กร Panthera ซึ่งอุทิศตัวให้กับการอนุรักษ์และปกป้องชีวิตเสือรายงานว่า เสือที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติจริงลดลงถึง 97% หากไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลย อีกหน่อยเราอาจได้เห็นเสือและลายเสือผ่านเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เท่านั้น ไม่มีเสือตัวจริงในป่าอีกต่อไป จริงๆ การรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่า หรือต่อต้านการใช้หนังสัตว์ก็มีมานาน แต่วิธีเดิมๆ อาจจะด้านชากันไปแล้ว ทาง Pantera จึงได้คิดแคมเปญระดมทุนใหม่ที่นอกกรอบสุดๆ ด้วยการคิดค่าลิขสิทธ์เสือจากบรรดาแบรนด์ต่างๆ ที่ใช้ลายเสือและนำแรงบันดาลใจจากเสือมาออกแบบผลิตภัณฑ์ (ทุกประเภทไม่ใช่แค่แฟชั่น) ให้ลุกขึ้นมาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ลายเสือกับแคมเปญ Tiger Royalty โดยค่าลิขสิทธิ์นั้นจะเปลี่ยนเป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนงานขององค์กร Panthera ในการปกป้องเสือต่อไป ไอเดียนี้แหวกแนวแต่สมเหตุสมผล เสือควรได้รับค่าตัวซะที หลังจากที่ถูกเบียดเบียนใช้หนัง ใช้ลายมานาน
งานนี้ไม่ใช่แค่เป็นการระดมทุนจากฝั่งแบรนด์สินค้า (ผู้ได้รับผลประโยชน์จากเสือ) เท่านั้น แต่ยังปลุกความสนใจให้คนทั่วไปหันมารับรู้ถึงปัญหาการล่าเสือ การลดลงของประชากรเสือ และตระหนักว่าเสือถูกละเมิดสิทธิ์มาตลอดอีกด้วย
[youtube url=”http://www.youtube.com/watch?v=jiJry6NNHPs” width=”600″ height=”350″]
อ้างอิง: Tiger Royalty, Pantera