เรื่องราวของ Ecovative วัสดุจากเชื้อรานี้เริ่มขึ้นในปี 2007 เมื่อ Eben Bayer และ Gavin McIntyre เพื่อนร่วมชั้นใน Rensselaer Polytechnic Institute ทดลองหาความเป็นไปได้ในการนำเชื้อรามาสร้างหน้าที่ใหม่ด้วยการพัฒนาให้ราเหล่านี้เป็นวัสดุทดแทน ซึ่งแม้ใครหลายคนในเวลานั้นจะมองไม่เห็นทางไปต่อของทั้งคู่ แต่ Eben และ Gavin กลับทำในสิ่งตรงกันข้าม และด้วยแรงผลักดันของ Burt Swersey อาจารย์ของพวกเขาเองก็ทำให้การเพาะเชื่อราเพื่อสร้างประโยชน์ก็เป็นจริงขึ้นมาได้
สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่าเชื้อราเหล่านี้จะมาผลิตเป็นวัสดุทดแทนได้อย่างไร เราขอเล่าให้เห็นภาพให้ง่ายขึ้นก็คือว่า ทีมงานของ Ecovative จะนำเศษวัสดุที่มีปริมาณลิกนินสูง อาทิ เปลือกข้าว เปลือกบัควีต และเมล็ดฝ้ายมาเพาะเลี้ยงเชื้อรา (ประเภทที่มักขึ้นอยู่บริเวณรากเห็ด) เป็นเวลา 7 วัน โดยไม่มีการรดน้ำและปราศจากการใช้สารปิโตรเคมี เมื่อเวลาผ่านไป ใยราที่แม้จะเป็นเส้นเล็กๆ แต่กินระยะเป็นระดับไมล์ จะก่อตัวขึ้น ซึ่งใยเหล่านั้นแหละจะเข้าไปห่อหุ้มและย่อยสลายเมล็ดพืช จากนั้นก็ประสานเศษซากทางการเกษตรจนเกิดเป็นรูปร่างของวัสดุแบบต่างๆ ขึ้น
ปัจจุบันนี้ วัสดุจากการเพาะเชื้อราถูกนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ทดแทนการใช้โฟม เป็นวัสดุสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และวัสดุดูดซับเสียงเสียงกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยข้อดีของมันนอกจากจะเป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นจากธรรมชาติและสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติตามวงจรชีวิตของมันแบบ 100% แล้ว วัสดุจากเชื้อราที่ว่านี้ยังทนทานต่อความร้อน มีอัตราการระเหยของสารพิษและการสะสมในสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งทางอากาศ ดิน และน้ำในระดับต่ำ ซึ่งนั่นหมายความว่ามันเป็นมิตรทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ใช้งาน โดยพลังงานที่ใช้ในการผลิตมีปริมาณน้อยกว่าการผลิตโฟมทั่วไปถึง 10 เท่า
แถมงานนี้ยังมี Ecovative’s Grow It Yourself คอมมูนิตี้ของ GIY’ers หรือผู้ที่สนใจสร้างผลิตภัณฑ์และวัสดุจากการเพาะเชื่อราแบบ DIY ที่จะมาแชร์ไอเดียและผลงานของตัวเอง ซึ่งมีตั้งแต่ภาชนะใส่ของ เก้าอี้ แจกัน ไปจนถึงตุ๊กตาหมี เรียกได้ว่าเป็นการปลุกชีพสิ่งนอกสายตาทั้งเชื้อราและขยะทางการเกษตรให้กลับมาสร้างประโยชน์ใหม่ได้ฉลาดและคุ้มค่า
นอกจากตัวโปรดักที่ประสบความสำเร็จแล้ว เรื่องราวของ Eben และ Gavin ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการคิดนอกกรอบ ซึ่งถ้างานนี้ไม่ได้สำเร็จอย่างในปัจจุบัน อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ลงมือทำ และทำด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่น และผลักดันกันแบบสุดทาง แบบที่เราเองก็ไม่รู้สึกเสียดายเวลาแทนเลยล่ะ!
อ้างอิง: Ecovative Design
