มีคำถามถึงสถาปัตยกรรมที่ผ่านมาว่าสามารถรับใช้มวลชนได้อย่างไรเสมอ ด้วยเพราะวิชาชีพสถาปนิกมักมีภาพลักษณ์ที่ทำงานไม่ติดดิน รับใช้ทุนนิยมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลักมากกว่าจะออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อกลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสจ้างสถาปนิกเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
แต่คำตอบนี้สามารถคลี่คลายได้ที่เมืองราชารัต ประเทศบังคลาเทศ เมื่อทางมูลนิธิ PANI จากประเทศเนเธอร์แลนด์ได้มอบหมายให้สำนักงานสถาปนิกดัชต์ SchilderScholte Architects ทำการออกแบบศูนย์ชุมชนเพื่อรองรับชาวบ้าน เด็ก คนชราในละแวกนั้นเข้ามาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น เมื่อออกแบบในประเทศที่กำลังพัฒนา สิ่งที่สถาปนิกต้องคิดต่างจากกรอบเดิมคือ การเข้าใจถึงวิถีชีวิตของเอเชียที่ยากจนในบังคลาเทศ โจทย์ที่สถาปนิกตีความคือการสร้างสถาปัตยกรรมที่ลดการใช้พลังงานจากภายนอกให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้พลังงานฟอซซิลที่มีแต่จะหมดไป
แนวคิดแรกคือการออกแบบให้ยั่งยืน ด้วยการสำรวจและเลือกใช้วัสดุที่ได้ง่ายในท้องถิ่น ลดการขนส่ง โดยตั้งเป้าที่การใช้วัสดุในรัศมีไม่เกิน 24 กิโลเมตร ซึ่งคำตอบที่ได้คือการสร้างด้วย อิฐทำมือ ไม้ไผ่ เหล็กใช้แล้ว ไม้มะม่วง ปูนก่อที่ชาวบ้านทำได้เอง และน้ำใช้แล้ว แนวคิดต่อมาคือการออกแบบให้รับสภาพแวดล้อมที่เป็นเมืองร้อน การออกแบบวางผังจึงอิงไปกับสภาพอากาศที่มีการกระจายส่วนใช้สอยให้ออกจากกัน ซึ่งทำให้เปลือกอาคารสามารถสัมผัสอากาศได้มากพร้อมกับระบายอากาศและรับแสงธรรมชาติได้มากขึ้น และยังวางอาคารให้ด้านแคบอยู่ในแนวตะวันออก-ตะวันตกเพื่อให้เปลือกอาคารรับแดดที่ร้อนจากทิศตะวันตกน้อยที่สุด พร้อมกันนี้ยังใช้แนวคิดเรื่องภูมิทัศน์ตะวันออกที่ใช้บ่อน้ำ ต้นไม้รายรอบอาคารเพื่อลดอุณหภูมิด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเกล็ดเล็กน้อยในการเลือกใช้สีที่ผนังภายนอกด้วยสีเหลืองเพื่อที่จะป้องกันแมลงเข้ามาภายในเพราะแมลงไม่ชอบสีเหลืองนั่นเอง
ถ้าวิชาชีพสถาปนิกจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนทั่วไปได้ ศูนย์ชุมชนนี้คงเป็นอีกคำตอบว่ามีสถาปนิกเข้ามาจัดการทรัพยากรแล้วดีขึ้นอย่างไร
อ้างอิง: SchilderScholte, archdaily