กิจการเพื่อสังคมคือโมเดลธุรกิจสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกนำเสนอให้ทุกภาคส่วนต่างๆในสังคมได้ลองกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองให้มากขึ้น บางหน่วยงานของรัฐเอง เช่นองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน (อพท.)ก็ได้เข้ามาส่งเสริมเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากการเข้าไปศึกษาโมเดลกับผู้ประกอบการโดยตรงเพื่อจะนำไปปรับใช้กับเขตพื้นที่พิเศษ โดยโมเดลแรกที่เราจะพามารู้จักนี้เป็นโมเดลธุรกิจหนึ่งที่กล้านำปัญหาสำคัญระดับชาติอย่างภาคการเกษตรมาคิดแก้ปัญหา
ทุกวันนี้ เกษตรกรซึ่งคือต้นน้ำของประเทศยังคงนิยมใช้สารเคมีในการทำการเกษตรอยู่ โดยที่เราไม่มีทางรู้ความจริงได้เลยว่านาทีที่คุณกำลังอ่านมาถึงย่อหน้านี้นั้น จะมียาฆ่าแมลงผสมเจือปนอยู่ในดินและน้ำหรือแม้กระทั่งในจานสลัดที่วางอยู่ตรงหน้าของคุณมากขนาดไหน และสารพิษเหล่านี้เองก็คือตัวร้ายชั้นเลิศที่นำพาโรคต่างๆมาสู่มนุษย์ ไม่ว่าจะการทำงานผิดปกติของระบบประสาทหรือโรคมะเร็งที่เดี๋ยวนี้หันไปทางไหนใครก็เป็น ส่วนในด้านเกษตรกรเอง การใช้สารเคมีที่นอกจากจะทำลายสุขภาพของพวกเขาแล้วก็ยังนำมาซึ่งภาระของหนี้เสียจากการที่เกษตรกรไม่สามารถควบคุมเรื่องของต้นทุนในการใช้สารเคมีได้ พอถึงเวลาก็ต้องขายที่ขายทาง และเมื่อไม่มีที่ดินทำมาหากินก็ต้องไปสร้างภาระเพิ่มให้ตัวเองเป็นหนี้กันนอกระบบอีก แล้วคิดดูว่าประเทศเรา มีผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรอยู่ถึง35เปอร์เซ็นของประชากรในประเทศทั้งหมด ?! ซึ่งถ้าต้นตอใหญ่ของปัญหาระดับประเทศในเรื่องของระบบอาหารที่ไม่สมดุลยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป แล้วประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างไร
สามพรานโมเดลเป็นการรวมกลุ่มของเครือข่ายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างห่วงโซ่ใหม่ๆระหว่างผู้ปลูกกับผู้บริโภคในรูปแบบของการดำเนินธุรกิจบนฐานของการค้าที่เป็นธรรม โดยเริ่มจากคำสามคำ ‘อยากกินดี’ รวมทั้งหลายปีก่อนหน้านี้ โรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์เองก็ต้องเสียเงินค่าผักผลไม้ให้กับพ่อค้าคนกลางถึงเดือนละเกือบล้าน จนวันหนึ่ง เจ้าของธุรกิจจึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า‘ งั้นทำไมเราไม่ซื้อตรงจากตัวเกษตรกรเลยล่ะ’?
หลังการตั้งคำถามได้ไม่นาน ทางโรงแรมเชิญเกษตรกรจำนวน70คนเข้ามาพูดคุยและทำข้อตกลงร่วมกัน โดยโรงแรมจะรับซื้อผลิตผลโดยตรงจากเกษตรกรในราคาที่เคยจ่ายให้กับพ่อค้าคนกลาง ซึ่งหมายความว่าเกษตรกรจะได้ราคาขายเป็นหนึ่งเท่าตัว (อย่างน้อย) จากที่พวกเขาเคยได้รับจากพ่อค้าคนกลางโดยโรงแรมมีข้อแม้ว่า ‘ห้ามเกษตรกรใช้สารเคมี’ ซึ่งผลจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเกษตรกรหยุดใช้สารเคมี สุขภาพของพวกเขาก็ดีขึ้น ต้นทุนในการทำการเกษตรกรรมเองก็ลดลงถึง 70 เปอร์เซ็น ปลดหนี้ได้ แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเกษตรกรอยู่คือเรื่องของช่องทางการตลาด เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมา ชาวนาส่วนใหญ่มักเอาชีวิตไปแขวนไว้บนเครื่องคิดเลขของพ่อค้าคนกลาง ‘โครงการสามพรานโมเดล (โดยมูลนิธิสังคมสุขใจและสามพรานริเวอร์ไซด์)’ จึงทำหน้าที่เชื่อมตลาดให้กับเกษตรกรโดยมีรูปแบบการทำงานคือ 1) เป็นการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งปลายน้ำที่ว่านี้ก็คือการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนด้วยการนำคนกินไปพบคนปลูก รวมถึงการพานักท่องเที่ยวไปดูการปลูกพืชตามฤดูกาลยังพื้นที่จริง เพราะรูปแบบการท่องเที่ยวในปัจจุบันเอง นักเดินทางก็ต่างมองหาประสบการณ์ตรงในแบบเที่ยวไปด้วยเรียนรู้ด้วยการลงมือทำไปด้วย มากกว่าที่จะนั่งดูโชว์กันเฉยๆ 2) เมื่อเกษตรกรกลุ่มใดผ่านการรับรองว่ามีส่วนร่วมกับโครงการแล้ว พวกเขาจะมีโอกาสเข้าร่วมในหลายช่องทางเพื่อการจำหน่าย เช่นตลาดสุขใจในพื้นที่ของบสวนสามพรานที่เปิดขายมาแล้วหกปีเต็ม ด้วยราคาของที่ไม่แพงเพราะเป็นการซื้อตรงกับเกษตรกร โดยผลประกอบการในปีที่แล้ว ตลาดสุขใจมียอดขายถึง 31ล้านบาท 3) ในส่วนของพ่อครัวโรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์เอง จากที่เคยโทรสั่งของจาก supplier ก็เปลี่ยนมาเป็นการติดต่อโดยตรงกับเกษตรกรทางไลน์กลุ่มบ้าง นัดประชุมกันตามวาระบ้าง และใช้วิธีเปลี่ยนเมนูของโรงแรมตามผลผลิตในแต่ละฤดูกาลของเกษตรกรบ้าง ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือครัวของโรงแรมเองได้ผลผลิตที่ดีกว่า เก็บในตู้เย็นได้นานกว่า รสชาติอร่อยกว่า โดยที่ต้นทุนยังคงเท่าเดิม 4) สามพรานโมเดลช่วยแนะนำเกษตรกรให้รู้จักกับโรงแรมใหญ่ๆเพื่อทำการติดต่อขายตรงกับโรงแรม โดยปัจจุบันมีโรงแรม19แห่ง และ 3 ศูนย์ประชุมที่เข้าร่วมโครงการ Farm to Function ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างผู้ปลูกและผู้บริโภค เช่นการจัดงานประจำปีรวมภาคีเครือข่ายในเรื่องของเกษตรอินทรีย์ให้มาพบปะแลกเปลี่ยนความรู้กัน 5) มีเว็บไซด์ตลาดออนไลน์ที่จะใช้เป็น platform เพื่อเชื่อมระหว่างผู้บริโภคกับเกษตรกรทั้งรายใหญ่และรายย่อย 6) ปัจจุบันสามพรานโมเดลขับเคลื่อนเกษตรกรอยู่11กลุ่มโดยใช้กติกา ‘ระบบชุมชนรับรองแบบมีส่วนร่วม’ หรือ GPS ที่อิงกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (IFOAM) โดยมีการพบปะทุกเดือนเพื่อให้เกษตรกรรายใหม่ได้เข้ามาเรียนรู้จากเกษตรกรเก่าในกลุ่ม
มาถึงตรงนี้ต้องบอกว่าขณะที่โลกกำลังก้าวกระโดดไปไวมาก ภาคธุรกิจในแต่ละประเภทเองก็ต้องปรับตัวให้ทันโลก ‘สามพรานโมเดล’ เองถือเป็นหนึ่งตัวอย่างในรูปแบบของการทำธุรกิจเพื่อสังคมที่ช่วยพัฒนาเกษตรอินทรีย์และยกระดับเกษตรกรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาในเรื่องชาวนาถูกเอารัดเอาเปรียบโดยพ่อค้าคนกลาง ซึ่งผลที่ตามมาคือผู้บริโภคได้กินอาหารดี มีคุณภาพและปลอดภัย ราคาไม่แพง ตัวเกษตรกรเองเกิดความภูมิใจในสัมมาอาชีพโดยที่สินค้าของพวกเขามันอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันอยู่แล้วโดยไม่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนอะไร ในส่วนของตัวเจ้าของธุรกิจโรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์เองได้ผลิตผลทางการเกษตรอินทรีย์ชั้นดีเพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารให้ลูกค้าในโรงแรมจากราคาการซื้อขายที่ยุติธรรม จึงเกิดประโยชน์และความสำเร็จร่วมกันอย่างแท้จริง ( Win-Win Situation)
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพลังแห่งความร่วมมือร่วมใจแม้จะอยู่บนความแตกต่างทางบทบาทในสังคมแต่ก็หาจุดร่วมกันได้ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน (อพท.)กำลังส่งเสริมให้เกิดขึ้นในพื้นที่โครงการโดยขณะนี้ได้เริ่มต้นไปแล้ว โดยมีการสร้างความร่วมมือกับอีกหลายภาคส่วนอย่างเช่นที่เขตพื้นที่พิเศษจังหวัดน่าน ที่มีความโดดเด่นด้านงานหัตถกรรม เพราะมีความเชื่อว่ากลไกในลักษณะนี้จะสามารถต่อยอดงานพัฒนาและทำให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต